Monday, 27 March 2023

"พิธา" โชว์วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งเป้าระดับโลก เริ่มจากท้องถิ่น

“พิธา” โชว์วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้ ไทยโตมาก แต่ยังรั้งกลางตารางอาเซียน เผยหลักคิด “ก้าวไกล” ตั้งเป้าไปสุดยอด จำเป็นต้องเริ่มต้นจากแคว้น ชู “น้ำประปาดื่มได้” เป็นตัวอย่างสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์แนวทางเศรษฐกิจดิจิทัลในหัวข้อ “เทรนด์ใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล และ ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งใหม่เพื่อความยั่งยืนมั่นคง” ร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ 5 พรรค ในงานเสวนา “Next Step Thailand 2023 ทิศทางแห่งอนาคต” ความตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15% ต่อปี

โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ดีเมื่อเทียบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งระบบ ที่จีดีพีคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ราว 3% แต่กระนั้นถ้าเกิดเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนด้วยกัน จะพบว่าเมืองไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของอาเซียน ทั้งในด้านคาดการณ์การเติบโต และ จำนวนการลงทุน และ เมื่อหันมาดูด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล จะพบว่ารัฐบาลได้ให้งบประมาณด้านแผนงานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัลเพียง 980 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.03% ของงบประมาณทั้งสิ้น

ส่วนงบประมาณด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีอยู่ราว 7.36 พันล้านบาท ส่วนมากกลับไปอยู่ที่กรมโยธาธิการ และแปลนเมืองของกระทรวงมหาดไทย ถึง 7.16 พันล้านบาท ซึ่งไม่ตอบโจทย์สำหรับการสร้างยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยตรง

พิธา

นายพิธา พูดว่า การก้าวไปสู่ เศรษฐกิจดิจิทัล ของประเทศไทย

จำเป็นต้องมีต้นเหตุจากการอาศัยบทบาทของภาครัฐ ที่จะต้องเข้าไปปรับยุทธศาสตร์ กฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ยังล้าหลัง ขัดขวางการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเข้าไปมีบทบาทผลักดันทั้งในด้านอุปทาน อาทิเช่น การเพิ่มงบประมาณให้ได้สัดส่วนกับความสำคัญ การลดขั้นตอนในระบบราชการ การผลักดันด้านงบประมาณ และการสนับสนุนบ่มเพาะเอกชนที่มีสมรรถนะ

ส่วนในด้านอุปสงค์ คือการที่รัฐเข้าไปเล่นบทบาทลูกค้ารายแรกๆให้สตาร์ทอัพเติบโตได้ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน และ ที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และ อุตสาหกรรมใหม่ๆซึ่งเป็นเหตุผลให้หลักคิดด้านหลักการเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคก้าวไกล มองว่าการกำหนดเป้าหมายแม้ว่าจะจำเป็นต้องไปให้ถึงสุดยอด หรือระดับภูมิภาคอาเซียน แต่การปฏิบัติจริงที่เกิดขึ้นต้องมาจากรากฐานที่สำคัญที่สุด นั่นคือในระดับท้องถิ่นของประเทศ ที่เดี๋ยวนี้ยังเต็มไปด้วยวิกฤติคุณภาพชีวิตและปัญหาของประชากร

นายพิธา บอกว่า ขอยกตัวอย่างการทำน้ำประปาดื่มได้ที่เทศบาลตำบลบางทีอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยคณะก้าวหน้า ซึ่งบรรลุผลสำเร็จแล้วในการพัฒนาประสิทธิภาพของน้ำประปา และ กำลังเริ่มจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี IoT (internet of things) ที่จะก่อให้กระบวนการผลิตน้ำไปกระทั่งถึงการจ่ายค่าน้ำของพลเมืองเข้าระบบดิจิทัลทั้งหมด

นี่คือแบบอย่างของการทำให้ปัญหาของประชากรแปลงเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อการโต้ตอบทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ คุณภาพชีวิตของ ประชาชนไปพร้อมกัน

“อาจสามารถ คือสิ่งที่เป็นรูปธรรมของการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จัดการกับปัญหาของประเทศและของราษฎร จากการแก้ปัญหาของอาจสามารถ ไปสู่การแก้ปัญหาของราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ทำให้เกิดการจัดการปัญหาของพลเมืองภาคอื่นๆ และของประชากรทั่วประเทศ และ ของอาเซียนต่อไป นี่เป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแบบพรรคก้าวไกล เป็นตั้งเป้าหมายให้ไปไกลถึงระดับนานาชาติ

แต่เริ่มการปฏิบัติจากระดับแคว้น เปลี่ยนวิกฤติของพวกเราให้เป็นโอกาสใหม่ๆซึ่งจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นพร้อมทั้งผู้กระทำระจายอำนาจ การมีงบประมาณที่เพียงพอในระดับท้องถิ่น และ ข้อบังคับที่เอื้อต่อการพัฒนาไปพร้อมๆกันด้วย” นายพิธา กล่าว…

เศรษฐกิจดิจิทัล

“พิธา”ชี้กระจายอำนาจเพิ่มงบประมาณแคว้น-ใช้เทคโนโลยีแก้แตกต่าง

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ NEXT STEP THAILAND 2023 ทิศทางแห่งอนาคต จัดโดยเครือเนชั่น ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเทียบเทียบกับอาเซียนในลำดับ 6 แพ้หลายประเทศ พวกเราเติบโตช้าที่สุด สะท้อนระบบนิเวศน์ที่มีปัญหา งบประมาณของเศรษฐกิจดิจิทัล 980 ล้านบาท พอๆกับ 0.03% ของงบประมาณทั้งผอง งบประมาณด้านสมาร์ท ซิตี้ 7 พันล้านบาท ส่วนใหญ่งบกระจุกที่กรมโยธาธิการ และ แปลนเมือง สะท้อนความไม่ใส่ใจของรัฐบาลปัจจุบันนี้

ซึ่งเศรษฐกิจดิจิทัลแบบก้าวไกล ต้องคิดไกลกว่าเมืองไทย อย่างน้อยก็ระดับอาเซียน โดยการปฏิบัติอยู่ที่แคว้น จะต้องมีเบื้องต้น มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีข้อบังคับที่ล้ำยุค และโครงสร้างฐานราก ระบบอินเตอร์เน็ต รวมทั้งคน มองอย่างอาจสามารถ สมาร์ท ซิตี้ มีระบบระเบียบเทคโนโลยีให้บริการประชากร อาทิเช่น ในเรื่องประปา ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็เป็น การไม่กระจายอำนาจ เมื่อเขตแดนงบประมาณน้อยเกินไป ต้องขอการสนับสนุนจากกองทุนดิจิทัล

“รัฐบาลของเราต้องมีวิธีคิดที่ดี ต้องใช้เศรษฐกิจดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน พร้อมกับสร้างอุตสาหกรรมแบบใหม่ๆ ซึ่งเป้าหมายระดับภูมิภาค เป้าหมายระดับโลก เราต้องแก้ปัญหาระดับท้องถิ่นก่อน” นายพิธา กล่าว

นอกเหนือจากนั้น นายพิธา กล่าวต่อว่า ปัญหาที่พลเมืองสะท้อนเรื่องค่าสำหรับบริการอินเตอร์เน็ตแพง กสทช. จะต้องดูแลเรื่องการควบรวม ถ้าหากประชาชนมีทางเลือกลดน้อยลง การแข่งขันก็ทำได้ยาก และ รัฐบาลก็มีส่วนช่วยในเรื่องทุนให้ถูกลงได้ ผ่อนหนักเป็นเบา